สวัสดีค่ะทุกคน! วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องที่หลายคนสนใจ นั่นก็คือการปลูกผมค่ะ ซึ่งปัจจุบันมีเทคนิคการปลูกผมให้เลือกมากมาย ซึ่งแต่ละเทคนิคก็มีข้อดี ข้อเสีย และความเหมาะสมที่แตกต่างกันไป เรามาทำความรู้จักกับเทคนิคการปลูกผมทั้งหมด ได้แก่ ปลูกผมเทคนิค FUT, FUE, DHI และ Long Hair แต่ที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในปัจจุบันก็คือ Long Hair FUE เนื่องจากเป็นเทคนิคใหม่ล่าสุดที่ไม่ต้องโกนผมด้านหลัง วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบกันให้เห็นชัดๆ ว่าแต่ละเทคนิคมีข้อดีข้อเสียอย่างไร และเหมาะกับใครบ้าง ?
เจาะลึก เทคนิคปลูกผมยอดฮิต FUT, FUE, DHI และ Long Hair ว่าแต่ละเทคนิคเหมาะกับใคร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร และเทคนิคไหนจะตอบโจทย์ปัญหาของคุณ?
1. FUT (Follicular Unit Transplantation) : เป็นเทคนิคเก่าดั้งเดิมที่ใช้การผ่าตัดนำหนังศีรษะที่มีรากผมแข็งแรงจากด้านหลังศีรษะมาปลูกในบริเวณที่ต้องการ มีข้อดีคือได้กราฟผมจำนวนมากในครั้งเดียว แต่มีข้อเสียคือเป็นเทคนิคที่ต้องผ่าตัด และมีรอยแผลเป็น
2. FUE (Follicular Unit Extraction) : เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือขนาดเล็กเจาะนำรากผมออกมาทีละกอแล้วนำไปปลูกในบริเวณที่ต้องการ มีข้อดีคือแผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นที่เห็นชัด แต่มีข้อเสียคือต้องโกนผมด้านหลัง เพื่อนำกราฟต์ผมจากด้านหลังมาปลูกในบริเวณที่ต้องการ
3. DHI (Direct Hair Implantation) : เป็นเทคนิคที่พัฒนาต่อยอดมาจาก FUE โดยใช้เครื่องมือเฉพาะที่เรียกว่า Implanter Pen หรือปากกานำปลูกในการศัลยกรรมปลูกผม ทีละเส้น ทำให้ควบคุมทิศทางและความหนาแน่นของเส้นผมได้ดี และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ในปัจจุบันอาจจะมี Implanter หลากหลายยี่ห้อมากมาย แต่เทคนิคออริจินัลจะเริ่มต้นมาจาก DHI Global ที่จะมีทั้งแบบแผนการรักษาที่เหมือนกันทั่วโลกจาก DHI โดยต้นฉบับอย่างแท้จริง เทคนิคนี้มีข้อเสียคือ ต้องโกนผมด้านหลังคล้ายๆ กับเทคนิค FUE
4. Long Hair FUE : เป็นเทคนิคที่พัฒนาต่อยอดมาจากเทคนิค FUE เป็นเทคนิคใหม่ล่าสุดในปัจจุบัน เพราะมีข้อดีคือไม่ต้องตัดผมสั้น ไม่ต้องโกนผมด้านหลัง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปกปิดบริเวณที่ปลูกผม หรือผู้ที่มีผมยาวอยู่แล้ว มีเวลาพักฟื้นน้อย หลังปลูกผมด้วยเทคนิค Long hair FUE จะเห็นแนวผมยาว เห็นความหนาแน่นของเส้นผมทันที ข้อเสียของเทคนิคนี้คือ ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะหากแพทย์มีไม่มีความชำนาญมากพอ ใส่กราฟต์เข้าไปไม่ทันเวลาอาจจะทำให้กราฟต์หลุด กราฟต์ไม่ติด และได้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังได้
5. Body Hair Transplant (BHT) : หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ว่า นอกเหนือจากการนำกราฟต์ผมจากบริเวณด้านหลังมาใช้ในการปลูกผมแล้วนั้น มีเทคนิคที่เราสามารถนำรากขนจากส่วนอื่นของร่างกาย เช่น หน้าอก หลัง หรือขา มาปลูกบริเวณศีรษะได้อีกด้วย เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีรากผมไม่เพียงพอในการศัลยกรรมปลูกผม แต่อาจจะไม่ได้เหมาะสมสำหรับทุกคน เพราะ เส้นขนบนร่างกายมักจะหนากว่าเส้นผมบนศีรษะ และหยิกงอมากกว่า อาจทำให้ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะ ไม่เป็นธรรมชาติ เส้นผมที่ปลูกอาจจะ หนา สั้น หยิกงอ และร่วงเร็ว ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะทำการรักษา เพื่อออกแบบการรักษาที่เหมาะสมแบบเฉพาะบุคคล
โดยสรุปว่าทุกเทคนิคมีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกัน “ไม่มีเทคนิคที่ดีที่สุดเพียงเทคนิคเดียวและไม่มีเทคนิคที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้” จะมีแต่เพียงเทคนิคการรักษาที่เหมาะสมในคนไข้แต่ละบุคคลเพราะต้องพิจารณาจากปัจจัยอื่นๆร่วมด้วย เช่น อายุ สุขภาพ โรคประจำตัว ยาที่ทาน ไลฟ์สไตล์ ฯลฯ จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคุณควรพบเจอปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะทำการเลือกคลินิกปลูกผมเพื่อที่คนไข้จะได้พูดคุยกับแพทย์อย่างตรงไปตรงมา เพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมตอบโจทย์กับความต้องการของคนไข้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
สนใจสอบถามเพิ่มเติมเรายินดีให้คำปรึกษา
Inbox : TheskinclinicBangkok
Line@ : @teamdoctor
Tel : 089-145-4427