ปลูกผมแล้วต้องกินยาไปตลอดชีวิตหรือไม่?

กินยาแล้วผมร่วงอยู่! ยา Finasteride จำเป็นแค่ไหนสำหรับทุกคน?


1 minute read

Listen to article
Audio is generated by AI and may have slight pronunciation nuances.

สาระสำคัญในบทความ

ทำความเข้าใจเรื่องเส้นผม และผมร่วงจากฮอร์โมนจากเพศชาย

ก่อนอื่นเลย เราอยากจะให้เข้าใจง่ายๆ กันก่อนว่า จริงๆ แล้วการที่ผมร่วงนั้นเป็นผลมาจากฮอร์โมนตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Dihydrotestosterone (DHT) หรือ ไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน โดยจะสังเกตได้ว่าในบางท่านที่มีอาการศีรษะล้านเพียงแค่ด้านบนของศีรษะแต่ด้านข้างและด้านหลังศีรษะกลับเต็มไปด้วยผม ในเคสแบบนี้เราจึงสามารถแบ่งชนิดของผมได้ 2 แบบ ดังนื้คือ:


1. ผมที่ไม่อ่อนไหวต่อฮอร์โมน  DHT

2. ผมที่อ่อนไหวต่อฮอร์โมน  DHT


สำหรับแบบที่ 2 ฮอร์โมนจะเข้าจับกับตัวรับฮอร์โมน Androgen บริเวณรากผมซึ่งจะไปเร่ง Cycle ของผมให้เร็วมากขึ้น ทำให้เข้าสู่ช่วงพักนานและลดระยะเวลาของช่วงเจริญเติบโตให้สั้นลง หรือก็คือทำให้เซลล์รากผมฝ่อเร็วขึ้นนั้นเองครับซึ่งแต่ละคนจะมีฮอร์โมนและประเภทของผมไม่เหมือนกันบางคนก็มีแค่ด้านบนศีรษะ  บ้างคนก็แทบไม่มีเลย หรือบางคนมีทั้งศีรษะเลยก็ได้แล้วแต่กรรมพันธุ์ของแต่ละคนครับ โดยการมีผมร่วง ในส่วนด้านบนและด้านหน้าศีรษะไปสิ่งที่พบบ่อยที่สุดในผู้ชาย เรียกได้ว่าเป็นเคส คลาสสิก เลยก็ว่าได้ครับ ซึ่งคุณผู้ชายหลายท่านเลือกที่จะมาทำการปลูกผม เพื่อจัดการกับปัญหานี้ แต่อาจจะยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทานยาหลังการปลูกผมอยู่ ซึ่งเราจะมาอธิบายกันในส่วนถัดไปครับ

ยา Finasteride คือ?

Finasteride เป็นยาที่เข้าไปยับยั้งการสร้างฮอร์โมน DHT ของเราซึ่งจะช่วยชะลอการร่วงโรยของผมที่เกิดจากกรรมพันธุ์ได้ โดยก่อนจะมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในแวดวงการปลูกผม ยาตัวนี้ เป็นยารับประทานที่ใช้รักษาปัญหาสุขภาพ 2 อย่างหลักๆ คือ

  • ภาวะต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia: BPH)
  • ผมร่วงจากพันธุกรรม (Androgenetic Alopecia) ในเพศชาย

ในกรณีของต่อมลูกหมากโต : DHT เป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมาก การยับยั้ง DHT จึงช่วยลดขนาดของต่อมลูกหมากและบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะบ่อย

ในกรณีของผมร่วง: DHT เป็นฮอร์โมนที่ทำให้รากผมฝ่อตัวลง Finasteride จึงช่วยลดระดับ DHT บนหนังศีรษะ ชะลอการหลุดร่วงของเส้นผม และอาจช่วยให้ผมขึ้นใหม่ได้ในบางราย

Finasteride รับประทานยังไง ช่วยลดผมร่วงได้จริงไหม?

สำหรับท่านที่ใช้ยานี้ในการลดปัญหาผมร่วงอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 3 เดือน ก่อนจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ โดยทั่วไปแล้วจะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ใน 12 เดือน หรือ 1 ปีครับ ต้องเข้าใจก่อนว่าตัวยาไม่สามารถหยุดการร่วงของผมได้เพียงแต่เป็นแค่การชะลอการร่วงเท่านั้น ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งหากต้องการเพิ่มปริมาณ และไม่ควรทานมาก หรือ น้อยกว่าที่แพทย์สั่ง

ผลข้างเคียงของยาแก้ผมร่วง Finasteride?

อย่างที่ทราบกันดีว่ายาตัวนี้เป็นยาที่ยับยั้งฮอร์โมนเพศชาย แน่นอนว่าย่อมมีผลข้างเคียงครับ โดยการที่ฮอร์โมนตัวนี้ลดลงนั้นจะส่งผลให้มีปัญหาด้านเพศตามมา ซึ่งท่านที่ต้องการมีบุตรอาจหาช่องทางอื่นในการจัดการกับปัญหาผมร่วงนี้ได้ครับ

โดยผลข้างเคียงที่ “อาจ” เกิดขึ้นมีดังนี้:

  • ปัญหาการแข็งตัว –- เนื่องจากฮอรโมนเพศชายลดลง
  • ความต้องการทางเพศลดลง –- เนื่องจากฮอรโมนเพศชายลดลง
  • ปริมาณการหลั่งที่น้อยลง –- ซึ่งมีโอกาสไม่สูงนักและสามารถลดลงปริมาณราว 20%
  • บริเวณเต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น –-  เนื่องจากความสมดุลของฮอร์โมนที่ลดลง 
  • เจ็บบริเวณองคชาต เป็นต้น

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นกับทุกคนครับ แต่หากมีปัญหาเหล่านี้หรือมีปัญหาอื่นที่คาดว่าเป็นผลข้างเคียงของยาเป็นระยะเวลานานโดยเฉพาะหากสงสัยว่าแพ้ยา ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อหาแนวทางแก้ไข

Finasteride/Minoxidil ยาแก้ผมร่วงจำเป็นสำหรับทุกคนไหม? ควรรับประทานหรือไม่…ปัจจัยอะไรบ้างที่ต้องพิจารณา?


หลายคนคงคุ้นเคยกับ Finasteride และ Minoxidil ยาคู่ใจสำหรับผู้มีปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน ใช้อย่างต่อเนื่องก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่เอ๊ะ! ทำไมบางคนกินยาแล้ว ผมก็ยังร่วงอยู่ล่ะ? จริง ๆ แล้ว ปัญหาผมร่วง ผมบาง อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ยา Finasteride/Minoxidil อาจไม่ได้ผลที่ดีเสมอไปกับทุกคน หรือบางรายอาจต้องใช้เวลาในการรักษา

สำหรับคนที่ปลูกผมไปแล้ว หลังการปลูกย้ายเซลล์รากผมนั้น แพทย์จะจ่ายยาให้บางเคสเนื่องจากว่าบริเวณที่ปลูกผมยังมีรากผมที่อ่อนไหวต่อฮอร์โมนหลงเหลืออยู่ ซึ่งการจ่ายยา Finasteride/Minoxidil ก็เพื่อป้องกันการร่วงของผมส่วนนี้ ส่วนในเคสที่ไม่ต้องทานยาจะเป็นเคสที่ ศีรษะด้านบน ซึ่งไม่มีรากผมประเภทนี้หลงเหลืออยู่แล้ว ซึ่งการทานยาก็ไม่มีความจำเป็นครับ เพราะเนื่องจากว่าผมในส่วนที่นำมาปลูกจะไม่มีความอ่อนไหวต่อฮอร์โมนและจะไม่ร่วงนั้นเองครับผม อย่างไรก็ดีสำหรับท่านที่อยู่ในเคสทานยาเราก็มีทรีตเมนท์ผมที่จะช่วยการปลูกผมได้โดยไม่ต้องทานยาครับผม 

ไม่อยากกินยารักษาผมร่วง Finasteride/Minoxidil ทำอย่างไรดี?

ตัวที่ได้ผลดีก็ขึ้น Almi Nano Fat เป็นทรีตเมนท์ที่ผลการวิจัยรองรับและแพร่หลาย เป็นหนึ่งในทางเลือกหลังการปลูกผม และสามารถทำให้ผมหนาขึ้นได้โดยไม่ต้องปลูกผม ในเคสที่ไม่ประสงค์ที่จะปลูกผมได้อีกด้วย ซึ่งในประเทศไทยยังมีน้อยคลินิกปลูกผมที่สามารถทำทรีตเมนท์นี้ได้ 

ไม่อยากกินยารักษาผมร่วง Finasteride/Minoxidil ทำอย่างไรดี?

กระตุ้นรากผมด้วยไขมันตัวเองเทคนิค Almi Nano Fat มีงานวิจัยรับรอง!

ALMI Nanofat หรือการฉีดไขมันเพิ่มผมหนา เป็นการดูดไขมันของคนไข้มาทำการสกัดเพื่อให้ได้ Nano Fat แล้วฉีดไปบริเวณศีรษะเพื่อช่วยในการลดการร่วงของผม กระตุ้นรากผม และ ช่วยกระตุ้นหนังศีรษะให้เลือดไหลเวียนมายังรากผม กระตุ้นการเกิดใหม่ของเส้นผม โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอาการแพ้เลยเนื่องจากเป็นการนำไขมันมาจากคนไข้เอง 100% ร่างกายจึงไม่มีปฎิกิริยาต่อต้านใดๆ เป็นเทคนิคเฉพาะต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง และที่สำคัญเป็นเทคนิคที่มีงานวิจัยรองรับว่าไขมันจากตัวเราเองนั้น ช่วยเพิ่มผมให้หนา ชะลอดการขาดหลุดร่วงของเส้นผม โดยไม่ต้องปลูกผม ไม่ต้องรับประทานยา นอกจากนี้ทรีตเมนท์ยังสามารถลดการร่วงของเส้นผมหลังการปลูกผม (Shock Loss) และลดระยะเวลาในการฟื้นตัวของผมและหนังศีรษะได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วยครับ

ALMI Nanofat เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เพราะเป็นทรีตเมนต์ที่เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการผ่าตัด หรือต้องการเสริมประสิทธิภาพการรักษาควบคู่ไปกับการใช้ยา 

หากท่านกำลังหนักใจจากการประสบปัญหาผมบาง ศีรษะล้าน เราแนะนำปรึกษาทีมแพทย์อเมริกันบอร์ดที่ The Skin Clinic คลินิกปลูกผม เพราะเนื่องจากปัญหานี้เป็นปัญหาระยะยาว เราจึงต้องมีการวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคลอย่างละเอียดและรอบคอบ โดยเฉพาะความจริงที่ว่าผมของคนเรามีเท่าไหนมีเท่านั้นหากหมดไปแล้วก็จะไม่สามารถนำกลับมาได้อีก ก็เตรียมการจึงได้เรื่องที่สำคัญ หากต้องการจัดการปัญหานี้ก่อนที่จะสายเกิดแก้ไข!

ปรึกษาฟรีได้แล้ววันนี้! สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  The Skin Clinic ทุกสาขา



FAQs

กินยา Finasteride แล้วผมยังร่วงอยู่! เกิดอะไรขึ้น?

การที่กินยา Finasteride แล้วผมยังร่วงอยู่ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ

  • ช่วงแรกของการรักษา: ในช่วง 2-3 เดือนแรกของการใช้ยา ผมอาจมีการหลุดร่วงเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากยา Finasteride กำลังออกฤทธิ์ยับยั้งฮอร์โมน DHT ทำให้เส้นผมที่อ่อนแอหลุดร่วงไป เพื่อให้เส้นผมใหม่ที่แข็งแรงกว่าขึ้นมาแทนที่

  • ยา Finasteride อาจไม่ได้ผลกับทุกคน: เพราะประสิทธิภาพของยาขึ้นอยู่กับสาเหตุของผมร่วง ระดับฮอร์โมน และการตอบสนองของร่างกายแต่ละบุคคล อาจมีปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น พันธุกรรม ความเครียด โรคประจำตัว การขาดสารอาหาร การใช้ยาบางชนิด ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม

  • ขนาดยา หรือวิธีการใช้ยาไม่ถูกต้อง: ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำ เกี่ยวกับขนาดยา และวิธีการใช้ยา ที่เหมาะสม หากกังวลควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุของผมร่วงผมบาง และปรับแผนการรักษา


ยา Finasteride จำเป็นแค่ไหน สำหรับการรักษาผมร่วง?

ยา Finasteride เป็นยา ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกา ในการรักษาผมร่วง ชนิด Androgenetic Alopecia หรือ ผมร่วงแบบพันธุกรรม ซึ่งเป็น สาเหตุของผมร่วง ที่พบบ่อยที่สุดโดยเฉพาะในผู้ชาย

ยา Finasteride ออกฤทธิ์ ยับยั้งการสร้าง Dihydrotestosterone (DHT) ซึ่งเป็นฮอร์โมน ที่ทำให้รากผม อ่อนแอลง และหลุดร่วง อย่างไรก็ตาม ยา Finasteride ไม่ใช่ทางเลือกสำหรับทุกคน และอาจมีผลข้างเคียง เช่น ความต้องการทางเพศลดลง เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เป็นต้น


ผมร่วงแต่ไม่อยากกินยา Finasteride กลัวผลข้างเคียง ทำอย่างไรดี?

หากคุณไม่อยากกินยา Finasteride กลัวผลข้างเคียง ปัจจุบันมีทางเลือกในการรักษาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน ที่หลากหลาย โดยไม่ต้องกินยา และมีความปลอดภัยสูง มีงานวิจัยรองรับ เช่น ALMI Nanofat, Regenera Activa, FRM Anti Hair Loss เป็นต้น ลองปรึกษาแพทย์เพื่อประเมิน หาสาเหตุของผมร่วงผมบาง และเลือกวิธีการรักษา ที่เหมาะสมกับคุณ

ใครบ้าง ที่ไม่ควรใช้ยา Finasteride?
  • ผู้หญิง ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร เนื่องจากยา Finasteride อาจเป็นอันตราย ต่อทารกในครรภ์

  •  ผู้ชาย ที่มีปัญหา ต่อมลูกหมากโต หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก

  • ผู้ที่มีโรคตับ

  • ผู้ที่แพ้ยา Finasteride

  • คนที่ไม่อยากกินยาไปตลอดชีวิต


ใช้ยา Finasteride นานแค่ไหน จึงจะเห็นผล?

โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลหลังจากใช้ยาประมาณ 3-6 เดือน และเห็นผลสูงสุดหลังจากใช้ยา 12-24 เดือน

หยุดใช้ยา Finasteride แล้ว ผมจะร่วงหรือไม่?

ใช่ หากหยุดใช้ยา Finasteride ผมจะเริ่มร่วง กลับมาเป็นเหมือนเดิม ภายใน 6-12 เดือน ดังนั้น หากต้องการรักษาผลลัพธ์ของการปลูกผม จำเป็นต้องใช้ยา Finasteride อย่างต่อเนื่อง สำหรับใครที่ไม่อยากรับประทานยาไปตลอดชีวิต ที่ The Skin Clinic เรามีทรีตเมนท์ทางเลือกในการรักษาหลายเทคนิคที่ทดแทนการกินยา สนใจปรึกษาฟรีได้ที่

ปรึกษาฟรีได้แล้ววันนี้! สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 
The Skin Clinic ทุกสาขา


« Back to Blog